วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วัดประทานพร
วัดประทานพร
เดิมระยะเริ่มแรกเรียกชื่อว่าสำนักสงฆ์ วัดอารามหนองใหม่ ( หนองใหม่ เป็นชื่อหนองน้ำโบราณ ปัจจุบันอยู่ในเขตของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณเวียงเจ็ดรินเมืองเก่า ของกลุ่มชนคนพื้นเมืองเดิม “ เผ่าลัวะ “ หนังสือตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ บางฉบับกล่าวว่า หนองใหม่ คู่กับ หนองฮ้อ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตทหาร อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านช่างเคี่ยน ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ ) สังกัด คณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ ณ ชุมชนหมู่บ้านป่าห้าหมู่ ๒ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สายถนนคันคลองชลประทานเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ซอย ๔ ห้วยแก้ว ถนนเส้นฟากเดียวกันกับโรงแรมเชียงใหม่ภูคำ หรืออยู่ติดกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทางทิศตะวันออก ซอย ๔ ห้วยแก้วฯ
ที่ตั้งวัดประทานพร ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ตามหลักฐานเอกสาร หนังสือสำคัญที่หลวง เลขที่ ๕๕๗๕ ประเภทที่ดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน มีเนื้อที่ดิน ๑ ไร่ ๑ งาน ๗๓ ตารางวา อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย (ดังเอกสาร ถ่ายสำเนาแจ้งรายงาน และ ใบเอกสารสำคัญที่เจ้าหน้าที่ ทางหน่วยงานราชการได้ออกใบอนุญาตให้ครอบครองที่ดินสาธารณะ ให้สร้างวัดประจำหมู่บ้าน) อันเป็นที่ดินสาธารณะสมบัติกลางของชาวหมู่บ้านป่าห้า หมู่ ๒ ที่ชาวบ้านครอบครองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ใช้เป็นสุสานประจำหมู่บ้านมาก่อน ชื่อสุสานป่าช้า “ ศรีหมอกฟ้า” สำหรับฝังศพและเผาศพของชุมชนหมู่บ้านป่าห้า
ต่อมาชาวบ้านป่าห้าก็เลิกใช้เป็นสุสาน ( ป่าช้า ) ที่เผาและฝังศพประจำหมู่บ้านแล้วสร้างเป็นศาสนสถาน วัดอารามหนองใหม่ เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๑๒ โดยคณะศรัทธาชุมชนหมู่บ้านป่าห้าหมู่ ๒ ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ โดยการนำของ กำนันชื่น จินดา กำนันตำบลสุเทพ สมัยนั้นพร้อมด้วยคณะกรรมการหมู่บ้าน และโดยการสนับสนุนของ คณะสงฆ์อำเภอเมืองเชียงใหม่ พระครูศรีปริยัตยานุรักษ์ ( ครูบาไฝ ญาณวุฒิ ) เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ และพระเถรานุเถระตำบลสุเทพ มีพระครูบาคำแสน อินทจกฺโก( พระครูสุคันธศีล) เจ้าอาวาสวัดสวนดอกและ พระสมุห์สิงห์ สจฺจานนฺโท เจ้าอาวาสวัดอุโมงค์(สวนพุทธธรรม) เป็นเจ้าคณะตำบลสุเทพ (พระครูสคันธศีล เจ้าคณะตำบลสุเทพเขต ๒ ในปัจจุบัน) โดยนิมนต์หลวงพ่อบุญมา กตธมฺโม เจ้าอาวาสวัดศรีโสดา มาเป็นเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ วัดอารามหนองใหม่เป็นรูปแรก เดิมทีท่านบวชสังกัดอยู่ วัดดอกเอื้อง ต.ศรีภูมิ อ.เมืองเชียงใหม่ วัดอารามหนองใหม่ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ( สำนักสงฆ์ ) วัดประทานพร เมื่อวันที่ ๑๒ ส.ค ๒๕๒๕
และได้มีผู้มีจิตศรัทธา ( คุณสมพร คาร์เตอร์ พระชัยวรวงศ์ อิทฺธิมนฺโต ณ เชียงใหม่ ได้ร่วมกันบริจาคเงินห้าแสนห้าหมื่นบาท ) ซื้อที่ดินของเอกชน ที่อยู่ติดที่สร้างวัดทางทิศใต้ เพื่อเพิ่มเติมขยายพื้นที่ดินให้แก่วัด อีก ๓ งาน ๔๕ วา ดั่งใบเอกสารหลักฐาน( ดั่งถ่ายสำเนาเอกสารที่ดิน แจ้งรายงานมา)โฉนดที่ดิน เจ้าของครอบครองและ ซื้อขาย โอน และมอบให้กับทางวัด เจ้าของที่ดินได้ให้นิติกรกฎหมาย ทำพินัยกรรมมีวัตถุจุดประสงค์เจตนา มอบยกทีดินให้ ที่อยู่ติดกับเขตที่ดินสาธารณะประโยชน์ ที่ชาวบ้านสร้างวัดใหม่ ทั้งพยานหลักฐานเอกสาร พยานบุคคล พยานสถานที่ ทั้งทางฝ่ายบ้านเมือง และ ฝ่ายคณะสงฆ์ รวมพื้นที่ดินที่สร้าง ก่อตั้งเป็นศาสนสถานวัดขึ้นมาปัจจุบันมีพื้นที่ดิน ๒ ไร่ ๒ งาน ๑๘ ตารางวา ดั่งกล่าวมาแล้ว
ทิศเหนือ ยาว ๒๑.๕ วา ติดต่อกับทีดินชาวบ้านที่สร้างที่อยู่อาศรัย อาคารบ้านเรือนอย่างถาวร
ทิศใต้ ยาว ๒๕ วา ติดต่อกับถนนซอย ๔ ห้วยแก้ว
ทิศตะวันออก ยาว ๔๐.๕ วา ติดต่อกับ ถนนซอยเข้าหมู่บ้าน
ทิศตะวันตก ยาว ๔๑.๓๒๕ วา ติดต่อกับที่ดินที่ตั้งบ้านเรือน ตึกอาคารของชาวบ้านอย่างหนาแน่น
ปัจจุบันชุมชนชาวบ้านป่าห้า หมู่ ๒ ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ ก็ไปใช้ป่าช้าแห่งใหม่เป็นที่เผาฝังศพประจำหมู่บ้าน ชื่อสุสานป่าช้า “ศรีสุด”ซึ่งตั้งอยู่ ถนนสายห้วยแก้ว สุเทพ-ปุย เขตหมู่บ้านเจ็ดยอด เขตเทศบาลตำบล ช้างเผือก อยู่ใกล้ ๆ กับด้านหลัง โรงเรียน วิทยาลัยสารพัดช่าง ฯ
การยกวัดใหม่ขึ้นประจำชุมชนหมู่บ้าน ก็ด้วยหลักการและเหตุผล เนื่องจากชุมชนหมู่บ้านป่าห้า ( หนองใหม่ ) หมู่ ๒ ตำบล สุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ไม่ได้สร้างศาสนสถานวัด ไว้กับหมู่บ้านมาก่อน เป็นชุมชนเก่าแก่ของคนพื้นเมืองเชียงใหม่ จนมาถึง ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ชุมชนป่าห้าเป็นชุมชนขยาย ได้เจริญเติบโต มีประมาณ ๓๐๐ กว่าครอบครัวในขณะนั้น นับถือพุทธศาสนา ๙๕ % ด้วยเหตุที่ชุมชนบ้านป่าห้าไม่มีวัด และศาสนสถาน ประจำหมู่บ้านมาก่อน ส่วนมากชาวบ้านจะไปทำบุญบำเพ็ญกุศลที่วัดศรีโสดา ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านป่าห้าระยะทาง ๓ กิโลเมตร และวัดช่างเคี่ยน ระยะทาง ๒ กิโลเมตร และวัดเจ็ดยอด ระยะทาง ๑ กิโลเมตรกว่า และวัดสวนดอก ระยะทาง ๑ กิโลเมตรฯ
พ.ศ ๒๕๑๒ กำนันชื่น จินดา พร้อมด้วยคณะกรรมการหมู่บ้านและชาวบ้านป่าห้า ได้รวบรวมเงินและวัสดุ เครื่องครัว บ้านไม้เรือนเก่าที่ชาวบ้าน เอามาร่วมบริจาคสร้างเสนาสนะ กุฏิที่พักพระภิกษุ-สามเณร ศาลาบำเพ็ญบุญ ห้องน้ำ ฯลฯโดยได้รับความช่วยเหลือบริจาควัสดุการก่อสร้างอุปกรณ์ เครื่องไม้ครัวเรือนเก่าจาก พ่อหนานอุ่นเรือน แม่ชิดขิ่น ยุตบุตร เจ้าของ ตลาดสมเพชร ที่บริจาคให้มากที่สุดในระยะเริ่มแรกการก่อสร้างวัด
๑. ศาลาบำเพ็ญบุญ สร้างด้วยไม้เรือนเก่า ๑ หลัง บรรจุคนได้ประมาณ ๓๐๐ คน
๒. กุฏิหลังใหญ่ สร้างด้วยไม้เรือนเก่า ยกพื้นสูง ๓ ห้องนอน กว้าง ๔.๕๐เมตร ยาว ๑๒.๐๐เมตร สูง๕.๕๐เมตร
๓. โรงครัวอาหาร กว้าง ๖.๕๐ เมตร ยาว ๘ เมตร สูง ๓.๕๐ เมตร สร้างด้วยเสาคอนกรีตฝาอิฐบล็อก โครงหลังคาไม้ มุงกระเบื้อง
๔. ห้องน้ำ-ส้วม ๑ หลัง ๓ ห้อง กว้าง ๓.๐๐ เมตร ยาว ๔.๐๐เมตร สูง ๓.๐๐ เมตร
๕. ศาลาประชุม ๑ หลัง สร้างด้วยเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก เทลาดพื้นคอนกรีต ฝาผนังอิฐบล็อก หลังคาโครงไม้ มุงกระเบื้อง กว้าง ๘ เมตร ยาว ๒๑ เมตร สูง ๕ เมตร และเป็นที่ไว้ เก็บของเครื่องครัวใช้สอยต่างๆของวัดและชุมชน
วัตถุประสงค์หลักของการสร้างวัด คือ
๑. เพื่อเป็นที่พักจำพรรษาของพระภิกษุเถระผู้เดินทางไปทำหน้าที่เผยแผ่ในท้องถิ่นนั้น
๒. เพื่อเป็นที่เล่าเรียนพระธรรมวินัยของพระภิกษุที่บวชจากท้องถิ่นนั้น
๓. เพื่อเป็นสถานที่ทำบุญและฟังธรรมของประชาชนที่อยู่ประจำท้องถิ่นนั้น
๔. เพื่อเป็นสถานที่สร้างประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธตามหน้าที่ประจำทิศ
๕. เพื่อเป็นจุดศูนย์ รวมใจของชาวบ้าน
๖. เป็นจุดศูนย์ หน่วยงานทางราชการ ที่นัดพบกับประชาชนในท้องถิ่น
๗. เป็นลานวัด ลานธรรม ลานบุญ ลานกีฬา ลานชุมนุมสามัคคี นัดพบของชุมชน
๘. เป็นแหล่งเรียนรู้ จารีต วัฒนธรรม ประเพณี ศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น
๙. เป็นสถานสงเคราะห์ แก่สาธารณะชนผู้มาพึ่งพาอาศัย ตลอดถึงสัตว์เลี้ยงและพิการ
ขอขอบคุณ www.lannatalkkhongdee.com
| Picture | Hotels | Class | Location | Price |
![]() |
Le Meridien Chiang Mai Hotel | ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
Chiang Mai City | 103 USD |
วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556
บ่อสร้างสันกำแพง
ร่มบ่อสร้าง
หมู่บ้านทำร่มบ่อสร้างอยู่ในเขตอำเภอสันกำแพง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ตามถนนสายเชียงใหม่ - สันกำแพง 9 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางชมการทำร่ม ซึ่งส่วนมากจะทำกันใต้ถุนบ้านแล้วนำออกมาวางเรียงรายเต็มกลางลานบ้าน เพื่อผึ่งแดดให้แห้ง ทำให้แลดูสวยงามด้วยสีสันและลวดลายบนร่มนั้นสะดุดตาผู้พบเห็น ร่มที่ผลิตในหมู่บ้านมี 3 ชนิดด้วยกันคือ ร่มที่ทำด้วยผ้าแพร ผ้าฝ้าย และกระดาษสา ซึ่งแต่ละชนิดมีวิธีทำอย่างเดียวกัน หากนักท่องเที่ยวประสงค์จะชมขั้นตอนการผลิต เจ้าของบ้านก็จะอธิบายการทำกระดาษสาไปจนถึงวาดลวดลายบนร่มให้ชม ทั้งนี้ เพราะการทำกระดาษสายังใช้กรรมวิธีแก่าแก่น่าสนใจมาก โดยใช้วิธีง่ายๆ และส่วนใหญ่ทำด้วยมือทั้งสิ้น
ลักษณะของร่มที่ดี
มีรูปทรงสวยงาม
โครงร่มและส่วนประกอบของร่มจะต้องมีความเรียบร้อยแข็งแรง
กระดาษที่ใช้ปิดร่มมีความหนาพอสมควร
สีและน้ำมันที่ใช้ทาไม่ตกและหลุดลอกได้ง่าย
เวลาใช้สามารถกางขึ้นลงได้สะดวก
วัตถุดิบและส่วนประกอบของร่ม ร่มกระดาษใช้วัตถุดิบและส่วนประกอบ คือ
1. หัวร่ม ตุ้มร่ม ทำด้วยไม้เนื้ออ่อน เช่นไม้โมกมัน ไม้สมเห็ด ไม้ซ้อ ไม้ตะแบก และไม้เนื้ออ่อนชนิดอื่นๆ เมื่อไม้แห้งแล้วไม่หดตัวมาก การที่เลือกเอาไม้เนื้ออ่อนเป็นหัวร่ม ตุ้มร่มนั้นเพราะว่าไม้เนื้ออ่อน สะดวกแก่การกลึงและผ่าร่องซี่
2. ซี่ร่ม ทำด้วยไม่ไผ่ ไม้ไผ่ที่จะนำมาทำเป็นซี่ร่มต้องมีลักษณะปล้องของไม้ไผ่จะต้องยาวถึง 1 ฟุตขึ้นไป เนื้อไม้ไม่หนาน้อยกว่า 1 นิ้ว และเป็นไม้ที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ เพราะไม้อ่อนเวลาแห้งแล้วไม้ะหดตัวมาก และตัวมอดยังชอบกินอีกด้วย
3. กระดาษปิดร่ม ใช้กระดาษที่มีเนื้อนิ่มไม่แข็งกระด้าง และมีความหนาพอสมควร แต่เท่านี้นิยมกันมากได้แก่กระดาษสา และกระดาษห่อของสีน้ำตาล
4. น้ำมันทาร่ม ใช้ทาด้วยนำมันมะมื่อ หรือนำมันทัง
5. สีทาร่ม ใช้ทาด้วยสีน้ำมัน
6. น้ำยางปิดร่ม ใช้ปิดด้วนน้ำยางตะโก หรือ น้ำยางมะค่า
7. ด้าย ที่ใช้ในการร้อยประกอบส่วนต่างๆ ของร่มใช้ด้ายดิบหรือด้ายมันนำมากรอเป็นเส้นและตีควบเป็นเกลียวตามขนาดที่ต้องการ
8. คันร่ม ใช้ไม้เนื้ออ่อนกลึงหรือทำด้วยไม้ไผ่ถ้าเป็นไม้ไผ่ต้องใช้ปลายไม้ขนาดเล็กหรือต้นไผ่ขนาดเล็กก็ได้ วัดเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นไม่เกิน 7/8 นิ้ว และต้องมีรูข้างในด้วยเพื่อสะดวกในการติดสปริงดันร่ม
9. หวายสำหรับพันด้ามร่ม ถ้าคันร่มทำด้วยไม้ไผ่ตรงส่วนที่เป็นด้ามถือ จะต้องพันด้วยเส้นหวายผ่าซีกขนาดเล็ก ( หวายเลียด ) หรือจะใช้ เส้นพลาสติกพันแทนก็ได้
10. ปลอกสวมหัวร่ม ใช้ใบลาน ใบตาล หรือกระดาษหนา ที่มีความหนาใกล้เคียงกันก็ได้
11. น้ำมันสำหรับผสมกับสี ใช้น้ำมันก๊าด
12. ห่วงร่ม ทำจากเส้นตอกไม้ไผ่ ขดเป็นวงกลมและพันด้วยกระดาษสาให้รอบชุบน้ำยางตะโกและตากแดดให้แห้ง 13. โลหะครอบหัวร่ม ทำด้วยแผ่นปั๊มหรือพลาสติกปั๊มก็ได้
วิธีทำร่ม
1. การทำหัวร่ม ตุ้มร่ม นำไม้สำหรับทำหัวร่ม และ ตุ้มร่ม ขนาดโตวัดเส้นผ่า ศูนย์กลางขนาด 2-2.5 นิ้วนำเอามาตัดท่อนๆความเท่ากับขนาดของหัวร่มและตุ่มร่มที่ต้องการแล้วเจาะรูตรงกลางขนาดพอที่จะใส่คันร่มชนิดนั้นๆ ได้แล้วจึงเอาไปกลึงเป็นหัวร่มรือตุ่มร่มตามแบบที่ได้กำหนดไว้
2. การทำซี่ร่ม หลังจากได้ไม้ไผ่มาแล้งก็นำเอามาตัดออกเป็นท่อนๆถ้าเป็นไม้ไผ่ที่มีปล้องยาวก็ตัดระหว่างข้อ แต่ถ้าเป็นไม้ปล้องสั้นก็ตัดให้ข้อไม้อยู่ตรงกลางความยาวของท่อนไม้ที่ตัดเท่าับขนาดของร่มที่จะทำ เช่น ทำร่มขนาด 20นิ้วก็ตัดไม้ไผ่ยาว 20นิ้วเป็นต้นเมื่อตัดไม้ไผ่เป็นท่อนยาวแล้วก็ใช้มีดขูดผิวไม้ออกให้หมดแล้วทำเครื่องหมายสำหรับเจาะรูไว้
โดยการใช้ตะปูตอกบนไม้ ขอให้ปลายตะปูโผล่ออกมานิดหนึ่งแล้วใช้ไม้ขอขีดรอบปล้องไม้ตรงกับระยะที่ต้องการเจาะรูแล้วจึงผ่าไม้ออกเป็น 4 ชิ้น แต่ละชิ้นขนาดเท่ากันใช้มีดตรงท้องตามระยะที่ได้กะไว้ให้เสมอกันทุกชิ้น ให้ทางปลายซี่เรียว และใช้มีดจักเป็นซี่ๆตรงหัวไม้ ความหนาแต่ละซี่ประมาณ 1/8 นิ้ว แล้วใช้มือฉีกออกเป็นซี่ๆ ถ้าฉีกไม่ออกก็ใช้มีดผ่าออกไปตรงๆ แล้วเหลาทั้งสองข้างให้ เรียบและปาดตรงหัวซี่ทั้ง 2 ให้บางพอดีที่จะใส่เข้าร่องหัวร่มได้แล้วซี่ตรงท้องนิดนึงเพื่อให้มุมมนแล้วเหลาตรงท้องซึ่งให้ ้ปลายซี่ร่มเรียวเท่ากันทุกๆซี่ ใช้มีดปลายแหลมแทงลงไปตรงรอยปาดท้องซี่ ให้ปลายมีดทะลุออกด้านหลังซึ่งตรงกลางแล้ว ผ่าตรงออกไปตามยาวประมาณ 2 นิ้ว เพือให้ปลายซี่สั้นสอดเข้าไปเวลาร้อยคือ ประติดกับซี่สั้น
ส่วนการทำซี่ร่มสั้นนั้น ตัดไม้ยาวตามขนาดที่ต้องการแล้วเกลาเอาผิวไม้ออก แล้วทำเครื่องหมายสำหรับเจาะรู แล้ว จักเป็นซี่ๆ เหลาสองข้างให้เรียบร้อย ปลายซึ่งข้างหนึ่งปาดท้องซี่ให้เป็นมุมแล้วเหลา 2 ข้าง ให้บางที่จะสอดเข้ารองตุ่มร่มได้ ส่วนอีกข้างหนึ่งเหลาปลายให้มน และเหลาตรงปลาย 2 ข้างให้บางพอสมควร
3. การเจาะรูซี่ร่มสั้นและซี่ร่มยาว ใช้เหล็กแหลมชนิดปลายเป็นสามเหลี่ยมเจาะโดยการหมุนไปหมุนมาหรือ จะใช้เหล็กแหลมเผาไฟให้ร้อนแล้วเจาะรูก็ได้(ถ้าไม่มีเครื่องเจาะ) แต่ถ้ามีเครื่องเจาะซี่ร่มโดยเฉพาะ ก็ใช้เครื่องเจาะเพราะจะได้เร็ว
4. การมัดหัวร่มและตุ่มร่มนำเอาซี่ร่มยาวและซี่ร่มสั้นที่เจาะรูแล้วร้อยติดกันเรียงเป็นตับโดยร้อยเอาทางหลัง ซี่ขึ้นข้างบนทุกซี่ แล้วเอาหัวร่มที่ผ่าร่องซี่แล้วมาปาดซี่ออกเศีย 1 ช่อง เพื่อสำหรับจะได้ไว้ผูกปมเชือก เอาซี่ร่มที่ร้อยแล้วใส่ลงไป ในหัวร่มช่องละซี่ แล้วดึงเชือกให้ตึงแล้วใส่ต่อไปอีกจนครบทุกช่อง แล้วดึงปลายเชือกทั้ง 2 ข้างให้ตึง เอาปลายเชือกผูกให้แน่น แล้วตัดเชือกที่ผูกออกให้เหลือปลายเชือกไว้ประมาณข้างละ 1 นิ้ว การมัดหัวร่มและตุ้มร่มทำด้วยวิธีเดียวกัน
ประวัติโดยย่อ
ในอดีตหมู่บ้านบ่อสร้าง อ.สันกำแพง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางธรรมชาติแบบชนบท ประชาชนส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ทำนาทำสวน ยามว่างเว้นจากการทำการเกษตรมักจะผลิตร่มออกจำหน่าย ซึ่งเป็นร่มกระดาษสา ต่อมาเติมแต่งลวดลายกลายเป็นร่มที่สวยงาม น่าซื้อไว้ใช้และเป็นของฝากของที่ระลึก
เมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา"ท่านอินศวร ไชยซาววงศ์ ลูกพ่อขุนเปา ซึ่งมีอาชีพเป็นพ่อค้า และเป็นคนพื้นที่ ได้เล็งเห็นว่าหมู่บ้านบ่อสร้าง เป็นหมู่บ้านที่ประชาชนมีฝีมือ สามารถผลิตร่มออกขายได้เงินได้ทอง กันจำนวนมาก จึงชักชวนกับชาวบ้านและผู้นำท้องถิ่นในสมัยนั้น ริเริ่มจัดงานขึ้นครั้งแรก ปีแรก มีผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามาเที่ยวชมงานกันอย่างล้นหลาม ด้วยกิจกรรมนานาชนิดและการละเล่นพื้นบ้าน
ต่อมามนต์ขลังของงานร่มบ่อสร้าง ได้จางหายไปจัดกันขึ้นมาต่อเนื่องเช่นกัน ประสบความสำเร็จบ้างไม่ประสบความสำเร็จบ้านแต่ทำกันมาตลอดโดยจะจัดขึ้นประมาณเดือนมกราคมของทุกปี ที่บริเวณศูนย์หัตถกรรมร่มบ่อสร้าง มีการแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากกระดาษสา โดยเฉพาะร่มบ่อสร้าง มีการแสดงทางวัฒนธรรม ขบวนแห่ ประเพณีพื้นบ้าน และการประกวดต่างๆที่น่าสนใจ ซึ่งจัดมาจนถึงปีนี้เป็นครั้งที่ 25 เเล้ว
มูลเหตุที่ทำให้เกิดมีงานเทศกาลร่มบ่อสร้างขึ้นมานั้น เกิดจากในช่วงเวลาหนึ่งที่ชาวบ้านบ่อสร้างซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจน กำลังจะละทิ้งอาชัพการทำร่มแล้วหันไปประกอบอาชีพอื่นที่ให้ผลกำไรมากกว่า ได้แก่ การแกะสลักไม้ เป็นเครื่องเรือนชนิดต่างๆ จนเป็นที่น่าวิตกว่า ในอนาคตอันใกล้แหล่งผลิตงานศิลปหัตถกรรมพื้นเมือง อันเป็นสัญลักษณ์ของชาวเชียงใหม่นั้นจะต้องสูญสลายไป ในที่สุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เพ่งเล็งเห็นความสำคัญในการสูญเสียสิ่งอันมีค่านี้ได้เข้ามามีบทบาทส่งเสริมงานอนุรักษ์และฟื้นฟูการทำร่มของชาวบ่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2520 โดยแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไปด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับวัตถุดิบ มาตรฐานการผลิต เงินทุน และการตลาด ฯลฯ เมื่อชาวบ้านบ่อสร้างได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานดังกล่าว จึงมีกำลังใจที่จะหันกลับมาทำร่มผลิตภัณฑ์พื้นบ้านอันมีค่าของตนดังเดิม การจัดงานเทศกาลร่มบ่อสร้างจึงเกิดขึ้นตาม แผนงานรณรงค์การประชาสัมพันธ์ เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูการทำร่มบ่อสร้างอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งในขั้นนี้เป็นขั้นสำคัญ อันจะสอดคล้องกับแผนงานส่งเสริมการท่องเที่ยว คือ โครงการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมและหัตถกรรมพื้นบ้านประจำภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ตามแผนพัฒนาการท่องเที่ยวในระยะแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529
จุดประสงค์หลักในการจัดงานเทศกาลร่มบ่อสร้าง
1. อนุรักษ์ให้ร่มบ่อสร้าง มรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นศิลปหัตถกรรมอันเป็นเอกลักษณ์แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยให้คงอยู่ตลอดไป
2. ส่งเสริมให้หมู่บ้านทำร่มคงอยู่ในแผนท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ตลอดไป
3. สนับสนุนให้บ้านบ่อสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมที่เป็นจุดดึงให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้เดินทางไปยังท้องถิ่นที่ผลิตอันเป็นผลให้มีการกระจายรายได้ไปสู่ประชาชน
4. ยกระดับมาตรฐานการผลิต ตลอดจนการพัฒนารูปแบบให้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวซึ่งมีผลสืบเนื่องต่อการขยายตลาดให้กว้างออกไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้คนในท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้นและในปี 2526 ได้มีการจัดงานเทศกาลร่มบ่อสร้างเป็นปีแรก ปรากฎว่างานนี้ได้รับความชื่นชมจากผู้ไปเที่ยวงานมาก เนื่องจากเป็นลักษณะการจัดงานที่แตกต่างจากงานเทศกาลอื่นๆ โดยลักษณะงานเป็นแบบ “Street Fair” กล่าวคือ ใช้พื้นที่ของหมู่บ้านบ่อสร้าง ซึ่งขนานกันตลอดแนวถนน ตั้งแต่บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านจนถึงท้ายหมู่บ้านระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นสถานที่จัดงาน โดยตกแต่งบ้าน และร้านค้าต่างๆ เป็นแบบล้านนาไทย ใช้ร่มสัญลักษณ์ของหมู่บ้านเป็นส่วนประกอบสำคัญในการตกแต่งพร้อมทั้งประดับประทีปโคมไฟแบบพื้นเมือง มีกิจกรรมประกวดการแข่งขัน นิทรรศการ การแสดงทางวัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้าน มหรสพนานาชนิด ตลอดทั้งวันทั้งคืน
วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
































































