วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วัดเจดีย์เหลี่ยม (กู่คำหลวง)




ประวัติการสร้างพระเจดีย์เหลี่ยมที่เห็นในปัจจุบันนี้ ตามตำนานเมืองเชียงใหม่เล่าไว้ว่าดังนี้
เมื่อ พ.ศ.1824 จุลศักราช 643 ยังมีกษัตราธิราชพระงค์หนึ่งชื่อว่า "เม็งราย" ครองราชสมบัติอยู่เมืองเชียงราย พระองค์นั้นมีเดชะสิทธิ์มากคิดจะขยายอาณาเขตลงมาทางหัวเมืองทางใต้ ได้ยกกรี้พลโยธาหาญมาจากเมืองเชียงราย รบพระยายีบาเจ้าเมืองลำพูน เมื่อ พ.ศ.1824 ได้ชัยชนะพระยายีบาแล้วพระองค์ก็ครองอยู่เมืองลำพูนที่นั้นอยู่ได้ 2 ปี และพระองค์ก็ทรงมอบให้ขุนอ้ายฟ้า อำมาตย์คนดีขึ้นครองเมืองลำพูนแทน ส่วนพระองค์เจ้าเม็งรายก็ยกย้ายไปสร้างเวียงอยู่ที่ใหม่ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเมืองลำพูน อยู่ที่นั้นได้ 3 ปี สถานที่นั้นไม่เหมาะสม

เป็นที่ต่ำน้ำชุ่มแฉะในฤดูฝน พระองค์จึงได้ย้ายรี้พลโยธามาสร้างแถมที่ใหม่ ที่ไกล้แม่น้ำปิง (คือที่บริเวณบ้านเจดีย์เหลี่ยมหมู่ 1-2 ตำบลท่าวังตาล เดี๋ยวนี้) เมื่อ พ.ศ.1829 จุลศักราช 648 ให้ชื่อว่า "เวียงกุมกามภิรมณ์" ปรากฎตามตำนานว่า เมื่อพระยาเม็งรายสร้างเป็นเวียงขึ้นแล้วลุถึงปี พ.ศ.1831 จุลศักราช 650 พระยาเม็งรายก็ได้สร้างเจดีย์ในเวียงกุมกาม คือ "เจดีย์วัดกู่คำ" วัดเจดีย์เหลี่ยมนี้ สาเหตุที่พระเจ้าเม็งรายจะสร้างพระเจดีย์กู่คำนี้ พระองค์ได้ทรงโปรดสั่งให้ข้าคนมนตรีเอามูลดินที่ขุดหนองต่างๆ และคลองคูเวียงนั้นมาเป็นอิฐแล้ว ทรงโปรดให้ก่อพระเจดีย์กู่คำ อันมีในเวียงกุมกามอารามเก่านั้น ให้เป็นที่กราบไหว้บูชาของคนและเทวดาทั้งหลาย ให้สูงใหญ่เป็นที่ปรากฎแก่คนทั้งหลาย มีฐานกว้าง 9 วา 1 ศอก สูง 24 วา เป็นรูปสี้เหลียมเสมอกันโดยถ่ายแบบจากวัดจามเทวี(กู่กุด) จังหวัดลำพูด

เป็นแบบศิลปกรรมของขอมโบราณ มีพระพุทธรูปยืนอยู่ทั้ง 4 ด้าน รวม 60 องค์ มียอดแหลมขึ้นเป็นตูม ไม่มีฉัตรเหมือนเจดีย์ทั่วไปคนทั้งหลายจึงเรียกกันมาว่าเจดีย์กู่คำ หรือว่าธาตุกู่คำ( ตามสันนิฐานของข้าพเจ้า เข้าใจว่าพระเจดีย์องค์นี้คงมีมาก่อนแล้ว พระเจ้าเม็งรายมาก่อเสริมขึ้นทีหลัง ข้อที่จะทำให้เกิดข้อสันนิฐานนี้มีอยู่ว่า ในสมัยก่อนที่พระยาตะก่ายังไม่มาซ่อมนั้น ที่ตรงกลางพระเจดีย์ มีรูปถ่ำเข้าไปลึกถึงตรงกลางเดินเข้าออกได้ตามสบาย มีคนเฒ่าคนแก่ในสมัยนั้นเล่าให้ฟังว่า ข้างในพระเจดีย์ก่อด้วยศิลาแลงทั้งนั้นแต่ข้างนอกเป็นก้อนอิฐธรรมดาสัก 5 ชั้นเท่านั้น

สันนิษฐานตามนี้พระเจดีย็นี้มีอยู่ก่อนจริง พระเจ้าเม็งรายมาสร้างเสริมทีหลังแต่ของเดิมจะมีรูปร่างสูงใหญ่เท่าไร มีใครมาสร้างเมื่อไรนั้นไม่มีใครรู้ เพราะไม่มีตำนานบอกไว้ ต่อมาเมื่อพระตะก่ามาซ่อม เกรงว่ารูถ่ำจะเป็นที่อาศัยอยู่หรือเป็นที่หลบลี้นี้ภัยของโจรผู้ร้ายหรือสัตว์ร้ายต่างๆ จึงก่อปิดเสีย แล้วก่อพระพุทธรูปนั่งทับไว้ที่ปากถ้ำมาจนทุกวันนี้ การที่คนโบราณเจดีย์นี้ว่า เจดีย์กู่คำ หรือวัดกู่คำ เข้าใจว่าคงเป็นเจดีย์ที่ไม่มียอดฉัตรแหลมเหนือเจดีย์ธรรมดาทั่วไป มีรูปคล้ายกู่เขาจึกเรียกเช่นนั้น เพราะคำว่ากู่นี้คนโบราณ เรียกกันว่าเป็นสถานที่เก็บอิฐของคนสำคัญ เช่น เจ้านาย ครูบาอาจารย์ หรือท่านผู้ดีมีชื่อเสียง เมื่อท่านสิ้นชีพไปแล้วเก็บอิฐบรรจุไว้
แล้วก่อเป็นรูปคล้ายรูปเจดีย์ใหญ่บ้างน้อยบ้างตามเกียรติยศของท่าน เขาจึกเรียกกันว่ากู่ แต่เดี๋ยวนี้เรียกว่าอนุสาวรีย์ เจดีย์เหลี่ยมนี้ที่คนโบราณเรียกกันว่ากู่นั้นคงเห็นเจดีย์มีรูปคล้ายกับกู่ จึงเรียกกันเช่นนั้นกระมังหรือจะอย่างไรไม่ทราบ ตามในทางที่ถูกสถานที่บรรจุพระอิฐธาตุของพระพุทธเจ้าเรียกว่า พระเจดีย์หรือสถูปเป็นเครื่องหมาย หรืเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงพระศาสดาผู้เป็นบมครูของโลก นี่เป็นข้อคิดเห็นของข้าพเจ้า ถึงอย่างไรก็ดีคำว่า "กู่คำ" หรือ วัดกู่ก็ได้สาปสูญไปนานแล้ว คือประมาณ พ.ศ.2570 ได้เปลี่ยนชื่อว่าวัดเจดีย์เหลี่ยมจนถึงทุกวันนี้)

กล่าวตามตำนานวัดช้างค้ำต่อไปนี้อีกว่า เมื่อพระเจ้าเม็งรายสร้างพระเจดีย์เหลี่ยมแล้ว ไม่นานเท่าไรพระองค์ทรงหล่อพระพุทธรูป 5 องค์ นั่ง 4 ยืน 1 องค์ องค์ยืนที่มีอยู่ที่วัดพระเจ้าเม็งรายในเมืองเชียงใหม่เดี๋ยวนี้ ว่าโปรดให้หล่อที่วัดเจดีย์เหลี่ยมเมื่อ พ.ศ.1832 ต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงโปรดให้สร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่ง เมื่อ พ.ศ.1833 จุลศักราช 652 โดยนายช่างชื่อ กาดโถม ( คือวัดช้างค้ำปัจจุบันนี้ วัดช้างค้ำอยู่ห่างไกลวัดเจดีย์เหลี่ยมประมาณ 1 ก.ม. ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้) พระยาเม็งรายก็เอาใจใส่รักษาวัดทั้ง 2 นี้ ให้รุ่งเรืองแล้วก็เสวยราชสมบัติอยู่เวียงกุมกามที่นั้น ได้ 11 ปี แล้วจึงยกย้ายรี้พลโยธาไปสร้างเวียงเชียงใหม่ เป็นราชธานีใหญ่เดี๋ยวนี้ เมื่อ พ.ศ. 1839

ต่อจากนั้นมาก็เป็นเวลาหลายร้อยปี พระเจดีย์ก็ชำรุดทรุดโทรมหักพังปมาก ตามธรรดาของสังขารมาจนถึง พ.ศ. 2451 จุลศักราช1270 ปี มีท่านพระยาตะก่า หรือว่า หลวงโยนการจิตร คหบดีชาวพม่าอยู่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีศรัทธามาบูรณะปฎิสังขรณ์ องค์พระเจดีย์ขึ้นแถมใหม่ใส่ยอดฉัตรใหญ่น้อยให้งดงามดีกว่าเก่า และเพิ่มซุ้มพระที่นั่งอีก 4 โดยนายช่างพม่าลวดลายก็เลยกลายเป็นแบบพม่าไปเสียมากกว่า แต่รูปทรงเป็นของเดิม เป็นที่น่าเสียดายนักหนา เจ้านายท้าวพระยาผู้ใหญ่ในสมัยนั้นไม่เอาใส่ใจบำรุงรักษา และควบคุมในการก่อสร้างผู้ใดมีจิตศรัทธาก็สร้างเอาได้ตามใจชอบ ไม่เหมือนในสมัยนี้แต่ที่สุดก็เสียศิลปกรรมโบราณไปเสียในทางสันนิษฐานของข้าพเจ้าว่าการที่พระเจดีย์เหลี่ยม

ซึ่งเป็นของโบราณคู่บ้านคู่เมืองมาแต่เดิม เมื่อชำรุดทรุดโทรมไปไม่มีใครบูรณะ แต่มีชาวพม่าได้มีศรัทธามาปฏิสังขรณ์เช่นนี้เข้าใจว่า คงจะด้วยบุรพกรรมมของผู้สร้างเคยด้มาทะนุบำรุง หรือเคยได้ศรัทธาแล้วในปางก่อน จึงทำให้มีฝีมือและชื่อเสียงไว้จึงเป็นไปเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็ดีพระเจดีย์นี้ยังมีรูปร่างเป็นเครื่องหมายให้รู้ได้ว่าเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นวัตถุโบราณอันสำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ มีรูปทรงอันสวยงามเป็นที่อวดแขกต่างบ้านต่างเมืองได้แห่งหนึ่ง

โรงแรมในเชียงใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น